เครื่องสำอ่งค์
Latest Post

สรุปเหตุการณ์ 20-22 พ.ค. รัฐประหาร พ.ศ. 2557

สรุปเหตุการณ์ 20-22 พ.ค. รัฐประหาร พ.ศ. 2557


เรื่องโดย Nation TV | ภาพโดย Nation TV
วันที่ 23 พฤษภาคม 2557 07:35 น.40,079 views

รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16.30 น. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. (อังกฤษ: National Peace and Order Maintaining Council ) โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะ
นับ เป็นการรัฐประหารครั้งที่ 13 ในประวัติศาสตร์ไทย ก่อนหน้านี้ เกิดรัฐประหารใน พ.ศ. 2549 สองวันก่อนหน้านั้น พลเอก ประยุทธ์ ประกาศกฎอัยการศึก ตั้งแต่เวลา 03:00 นาฬิกา ด้วยการอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 ต่อมากองทัพบกได้ออกประกาศยุติการดำเนินการของศูนย์อำนายการรักษาความสงบ เรียบร้อย (ศอ.รส.) และจัดตั้ง กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) ขึ้นแทนโดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.รส.) และออกประกาศคำสั่ง และขอความร่วมมือในหลายเรื่อง เช่น ขอให้ระงับการแพร่ภาพออกอากาศ โทรทัศน์ดาวเทียมและวิทยุชุมชน ขอความร่วมมือในการเผยแพร่เนื้อหาทางอินเทอร์เน็ต และเชิญประชุมข้าราชการระดับสูง ผู้นำกลุ่มการเมือง ตัวแทนพรรคการเมืองต่าง ๆ เป็นต้น

เบื้องหลังลำดับเหตุการณ์ 20 พฤษภาคม

03:30 น. - กำลังทหารพร้อมอาวุธ เข้าควบคุมที่ทำการช่องโทรทัศน์ต่างๆ ทั้งภาคพื้นดินและผ่านดาวเทียมหลายช่อง โดยร้องขอให้เชื่อมสัญญาณออกอากาศ จากสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5

04:00 น. - สื่อสังคมออนไลน์ เผยแพร่คำสั่ง ประกาศกฎอัยการศึก และประกาศจัดตั้ง กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.)

06:30 น. - ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ ผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ออกประกาศใช้กฎอัยการศึก ทั่วราชอาณาจักร ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย

08:25 น. - กอ.รส.ออกคำสั่งฉบับที่ 1 ให้สื่อวิทยุและโทรทัศน์ทั้งหมด รับสัญญาณถ่ายทอด แถลงการณ์จากกองทัพบก ทุกครั้งที่ได้รับการประสาน

08:42 น. - กอ.รส.ออกคำสั่งฉบับที่ 2 ให้ผู้ชุมนุมทางการเมืองอยู่ในพื้นที่เดิม โดย กปปส. ให้อยู่ที่ถนนราชดำเนิน เขตพระนคร และถนนแจ้งวัฒนะ ช่วงหน้าศูนย์ราชการฯ เขตหลักสี่ ส่วน นปช. ให้อยู่ที่ถนนอักษะ เขตทวีวัฒนา

09:48 น. - กอ.รส. ออกคำสั่งฉบับที่ 3 ห้ามสื่อข่าวที่กระทบต่อการรักษาความสงบ

10:36 น. กอ.รส. ออกคำสั่งฉบับที่ 6 สั่งให้โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ระงับการออกอากาศจำนวน 10 ช่อง รวมถึงวิทยุชุมชนที่ไม่ได้รับอนุญาต

11:06 น. กอ.รส. ออกคำสั่งฉบับที่ 5 แต่งตั้งคณะที่ปรึกษา กอ.รส.

12:40 น. กอ.รส. ออกคำสั่งฉบับที่ 4 เชิญบุคคลสำคัญร่วมประชุม แก้ปัญหาความไม่สงบ

14:00 น. กอ.รส. เริ่มประชุมตามคำสั่งฉบับที่ 4 ที่สโมสรทหารบก สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ปฏิเสธไม่เข้าร่วมประชุม

19:34 น. กอ.รส. ออกคำสั่งฉบับที่ 8 ขอความร่วมมือสื่อสังคมออนไลน์ ระงับส่งข้อความปลุกระดม สร้างความรุนแรง ไม่เคารพกฎหมาย

19:45 น. กอ.รส. ออกคำสั่งฉบับที่ 7 สั่งให้โทรทัศน์ดาวเทียม ระงับการออกอากาศเพิ่มเติมอีก 4 ช่อง

20:09 น. กอ.รส. ออกคำสั่งฉบับที่ 9 สั่งห้ามสื่อทุกแขนง เชิญผู้ไม่มีตำแหน่งราชการ แสดงความเห็นก่อความขัดแย้ง พร้อมสั่งให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัด เข้าระงับการชุมนุมต่อต้าน การปฏิบัติงานของ กอ.รส.

20:49 น. กอ.รส. ออกคำสั่งฉบับที่ 10 สั่งห้ามข้าราชการ-เจ้าหน้าที่พลเรือน-ประชาชน พกพา-ใช้อาวุธสงครามและวัตถุระเบิด เว้นทหารตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยตามคำสั่ง

21:04 น. พันเอกวินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะ โฆษก กอ.รส. ชี้แจงขั้นตอนการประกาศกฎอัยการศึก ว่าเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และ กอ.รส. ออกคำสั่งฉบับที่ 12 ให้ตำรวจ, เจ้าหน้าที่พลเรือน, หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
21 พฤษภาคม

ใน วันที่ 21 พฤษภาคม 2557 กอ.รส. ไม่ได้ออกประกาศเพิ่มเติม และกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองกลุ่มยังคงดำเนินกิจกรรมของตัวเองตามปกติ โดยเหตุการณ์สำคัญมีเพียงแค่การตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจพิจารณาอินเทอร์ เน็ตและสั่งให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายงานต่อ กอ.รส. เพื่อควบคุมเนื้อหาออนไลน์เท่านั้น?

และ ในช่วงบ่ายก็ได้มีประกาศ กอ.รส. ฉบับที่ 7/2557 เพื่อเรียกตัวแทนจาก 7 ฝ่ายเข้าร่วมประชุมที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดี-รังสิต โดยห้ามมิให้มีผู้ติดตามเดินทางมาด้วย โดยรายนามผู้ที่ถูกเรียนเชิญมีดังต่อไปนี้
ผู้ แทนรัฐบาล ประกอบด้วย รักษาการณ์นายกรัฐมนตรี และผู้ติดตาม 4 ท่าน ผู้แทนวุฒิสภา ประกอบด้วย รองประธานวุฒิสภาท่านที่ 1 พร้อมคณะอีก 4 ท่าน คณะกรรมการการเลือกตั้ง ทั้ง 5 ท่าน ผู้แทนพรรคเพื่อไทย?
ประกอบ ด้วย นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรค และผู้ติดตาม 4 ท่าน ผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และผู้ติดตาม 4 ท่าน ผู้แทนคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. พร้อมคณะอีก 4 ท่าน

ผู้ แทนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ประกอบด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. และคณะอีก 4 ท่าน โดยการประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียดตั้งแต่เวลา 13.30 น. จน พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจให้มาประชุมกันใหม่ในวันพรุ่งนี้เวลา 14.00 น.เพื่อหาทางออกของประเทศร่วมกัน ภายหลังรัฐมนตรีรักษาการได้ออกมาเผยว่าท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ในที่ประชุมดูแปลกไป แต่ตนเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธคงไม่คิดจะทำการรัฐประหารแน่นอน

22 พฤษภาคม

14:00 น. - ประชุมร่วม 7 ฝ่าย เพื่อหาทางออกของประเทศครั้งที่ 2 โดยมี ผบ.ทบ. เป็นประธานในที่ประชุมระหว่างการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ ได้เปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายได้เสนอแนวทางที่เห็นว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดของ ประเทศ โดยได้สอบถาม นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าคณะฝ่ายรัฐบาล ว่าตกลงรัฐบาลยืนยันไม่ลาออกทั้งรายบุคคลและทั้งคณะใช้หรือไม่ ซึ่งนายชัยเกษมระบุว่านาทีนี้ไม่ลาออกและต้องการดำเนินการต่อจนกว่าจะครบ วาระตามกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์ จึงตอบกลับว่าจะยึดอำนาจการปกครอง และเมื่อสิ้นสุดเสียง เจ้าหน้าที่ทหารกว่าหลายร้อยนายได้เข้ามาชาร์จผู้ประชุมทั้ง 7 ฝ่ายและพาขึ้นรถออกไปทันที โดยไม่ทราบจุดหมายปลายทาง

16:30 น. (ประกาศจริง เวลา 17.00 น.) - พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศตั้ง "คณะรักษาความสงบแห่งชาติ" (อังกฤษ: National Peace and Order Maintaining Council อักษรย่อ: คสช.) เข้ามายึดอำนาจรัฐบาลรักษาการณ์ในทันที รวมถึงให้กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) สิ้นสุดอำนาจทันทีเช่นกัน แต่ทั้งนี้คำสั่งต่างๆ ยังคงมีผลต่อเนื่องอยู่

18:00 น. - คณะรักษาความสงบแห่งชาติประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรอีกครั้ง

18:20 น. - คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกประกาศฉบับที่ 3 ห้ามมิให้ประชาชนออกจากเคหะสถานตั้งแต่เวลา 22.00 น.-05.00 น. ทั่วราชอาณาจักร เว้นแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ จากกรณีนี้สถานที่สำคัญหลายแห่งทั่วประเทศประกาศปิดทำการตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป ?และระบบขนส่งมวลชนต่างๆ คือ รถไฟฟ้าบีทีเอส ประกาศปิดทำการตั้งแต่เวลา 21.00 น. ?โดยจะเป็นรถเที่ยวสุดท้ายที่ออกจากสถานีหมอชิตและสถานีแบริ่ง รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ประกาศปิดทำการตั้งแต่เวลา 21.00 น. ?โดยเป็นรถเที่ยวสุดท้ายที่ออกจากสถานีหัวลำโพง และสถานีบางซื่อ และรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประกาศปิดทำการตั้งแต่เวลา 21.00 น. โดยเป็นรถเที่ยวสุดท้ายที่ออกจากสถานีท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีพญาไท

18:30 น. - คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกประกาศฉบับที่ 4 บังคับให้สื่อวิทยุ โทรทัศน์ และโทรทัศน์ดาวเทียมทุกสถานี งดออกรายการตามปกติ และให้ใช้สัญญาณของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกออกอากาศไปจนกว่าจะได้รับคำ สั่งเปลี่ยนแปลง

19:00 น. - คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ออกประกาศขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ชุมนุมกลับสู่ภูมิลำเนาของตนตาม เดิม โดยทางกองทัพบกได้จัดขบวนรถจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเพื่ออำนวยความสะดวก และได้ออกคำสั่งให้ทหารที่รับผิดชอบในพื้นที่ช่วยจัดการบริหารให้ประชาชน สามารถเดินทางกลับได้อย่างปลอดภัย

19:10 น. - คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ออกประกาศฉบับที่ 5 โดยมีเนื้อความดังนี้
ให้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดอำนาจลงชั่วคราวทุกหัวข้อ ยกเว้นหมวดที่สอง (พระมหากษัตริย์) หมวดหน้าที่วุฒิสภา และองค์กรอิสระให้มีอำนาจอยู่เช่นเดิมให้ สมาชิกวุฒิสภา ยังคงดำรงตำแหน่งตามปกติแต่นับจำนวนสมาชิกใหม่ตามสมาชิกที่เหลืออยู่ใน วุฒิสภาในขณะที่ออกคำสั่งฉบับนี้ ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการที่ดำรงตำแหน่งอยู่ทุกตำแหน่งหมดอำนาจตั้งแต่ประกาศ ฉบับนี้
ยกเลิกการพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นช่วงนี้ทั้งหมดให้องค์กรอิสระ และองค์กรอื่นๆ ที่ถูกจัดตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดำเนินงานตามปกติ

19:19 น. - คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ออกประกาศฉบับที่ 6 โดยให้แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า คสช. พล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นรองหัวหน้า คสช. พล.ร.อ. ณรงค์ พิพัฒนาศัย เป็นรองหัวหน้า คสช. พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง เป็นรองหัวหน้า คสช. พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นรองหัวหน้า คสช. และ พล.ต. อุดมเดช สีตบุตร เป็นเลขาธิการ

19:42 น. - คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ออกประกาศฉบับที่ 7 สั่งห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน

20:55 น. - คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ออกประกาศฉบับที่ 8 โดยให้ยกเว้นข้อห้ามการออกจากเคหสถานยามค่ำคืนตามประกาศที่ 3/2557 เพื่อบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นโดยให้ยกเว้นกับกลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้ กลุ่มบุคคลที่เดินทางเข้า-ออกประเทศ กลุ่มบุคคลที่ต้องประกอบอาชีพแบบผลัดเวลา (เข้ากะ) เช่น โรงงาน โรงพยาบาล ธุรกิจการบิน กลุ่มบุคคลที่ต้องเดินทางเพื่อขนส่งสินค้าที่มีอายุจำกัด หรือสินค้าเย็น กลุ่มบุคคลที่มีกิจธุระจำเป็น เช่น ผู้ป่วยที่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ผู้ปฏิบัติการที่เกี่ยวกับมนุษยธรรม สำหรับกลุ่มบุคคลที่มีกิจธุระนอกเหนือจากข้างต้น ให้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ก่อนออกเดินทาง

20.30 น. 7-11โพสต์ประกาศผ่านเฟซบุ๊ก จะปิดให้บริการ?

22.00-05.00 ตามการประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศ ฉบับที่ 3 ห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถานตั้งแต่เวลา 22.00-05.00น.

21.06 น. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกประกาศฉบับที่ 9/2557 ให้สถานศึกษา ทั้งในส่วนของรัฐและเอกชน หยุดการเรียนการสอน 23 - 25 พฤษภาคม 2557

21.40 น. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า สถานีบริการน้ำมัน ปตท.ปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 22:00น. และเปิดให้บริการตั้งแต่ 05:00น. มีผลตั้งแต่วันนี้จนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลง

21.55 น. คสช.ขึ้นตัววิ่งในหน้าจอโทรทัศน์ ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลบนสื่อออนไลน์ ที่มีการระบุว่าจะมีการปิดสัญญาณอินเตอร์เนต ปิดไลน์ ปิดยูทูป ปิดโซเชียลมีเดีย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ
กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ

 

มาดูกัน !!! ศึกคลีนซิ่งล้างเครื่องสำอางค์ลดสิว Bioderma VS Bifesta ตัวไหนสะอาดกว่า ดีกว่า ลดสิวมากกว่ากัน

ศึกคลีนซิ่งล้างเครื่องสำอางค์ลดสิว Bioderma VS Bifesta ตัวไหนสะอาดกว่า ดีกว่า ลดสิวมากกว่ากัน

หากพูดถึงคลีนซิ่ง หรือ Makeup remover ที่เราใช้ล้างเครื่องสำอางค์แล้วล่ะก็ ชื่อคลีนซิ่งที่เราคุ้นหูและถูกพูดถึงกันมากที่สุดก็คงไม่พ้นคลีนซิ่ง 2 ตัวนี้ ก็คือ Bioderma และ Bifesta ซึ่งจัดเป็นคลีนซิ่งที่มักจะถูกเอามาเปรียบเทียบกันเสมอว่า ตกลงตัวไหนใช้ล้างเครื่องสำอางค์ดีกว่ากัน ตัวไหนใช้แล้วไม่แพ้ ตัวไหนช่วยลดการเกิดสิวดีกว่ากัน

คลีนซิ่งลดสิว Bioderma กับ Bifesta


    สำหรับบทความนี้ผมคงจะไม่พูดถึง หรือ Review คลีนซิ่งทั้ง 2 ตัว ว่าสรรพคุณหรือความสามารถของทั้ง Bioderma และ Bifesta เป็นยังไง แต่ผมจะเปรียบเทียบคลีนซิ่งทั้ง 2 ตัว ในเรื่องที่เกี่ยวกับสิว เป็น มุมมองส่วนตัวที่บอกว่า คลีนซิ่งทั้ง 2 ตัวนี้ สำหรับคนเป็นสิวและต้องแต่งหน้านั้น ใช้ตัวไหนดีกว่ากัน ใช้ตัวไหนแล้วช่วยแก้ปัญหาสิวได้เยี่ยมกว่ากัน ลองอ่านกันดูครับ


เปรียบเทียบเรื่องสิวสิวกับ Bioderma และ Bifesta



เปรียบเทียบกันให้ ถูกรุ่น ถูกคู่


    ก่อนที่เราจะเปรียบเทียบคลีนซิ่ง Bioderma และ Bifesta นั้น ผมคิดว่าเราควรเปรียบเทียบรุ่น หรือซีรีย์ของคลีนซิ่งทั้ง 2 ตัวให้ตรงกันซะก่อน โดยคลีนซิ่งทั้ง 2 ตัวนั้นความจริงจะมีผลิตภัณฑ์ออกมาขายหลายตัว ยิ่งของ Bifesta นั้นต้องบอกว่าเยอะมากจริงๆ แต่ในความคิดของผมนั้น ผมว่าเราสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ คลีนซิ่งแบบสูตรอ่อนโยน  และสูตรสำหรับคนหน้ามันเป็นสิว

คลีนซิ่งสูตรอ่อนโยนสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย


คลีนซิ่ง Bioderma   :    Bioderma Sensibio Crealine H2O (ขวดสีชมพู)
คลีนซิ่ง Bifesta      :    Bifesta Cleansing Lotion Moist (ขวดสีขาว-ชมพู)


คลีนซิ่งสูตรสำหรับคนผิวมัน เป็นสิว


คลีนซิ่ง Bioderma    :   Bioderma Sebium H2O (ขวดสีเขียว)
คลีนซิ่ง Bifesta   :   Bifesta Cleansing Lotion Sebum (ขวดสีฟ้า)


    ซึ่งเวลาที่เราจะเปรียบเทียบคลีนซิ่งทั้ง 2 ตัวก็อยากให้เปรียบเทียบตัวที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันเหมือนกับที่ผมจัดหมวด หมู่ไว้ด้านบน ไม่ใช่ให้เราเอาคลีนซิ่งคนละหมวดหมู่มาเปรียบเทียบกัน เช่น เอา Bioderma Sensibio Crealine H2O (ขวดสีชมพู) สูตรอ่อนโยน มาเทียบกับ Bioderma Sebium H2O (ขวดสีเขียว) สูตรควบคุมความมัน อันนี้มันเห็นผลชัด แต่มันไม่ถูกคู่ ทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่ายี่ห้อไหนดีกว่ากัน เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะเปรียบเทียบคลีนซิ่งทั้ง 2 ตัวนั้น อย่าลืมจับคู่ให้เหมาะสม ให้สมน้ำสมเนื้อกันสักหน่อยนะครับ


เทียบกันเรื่องการทำความสะอาด


    หากพูดถึงคลีนซิ่งเราก็ต้องพูดถึงความสามารถในการทำความสะอาดของทั้ง 2 ตัว ว่าใครเช็ดเครื่องสำอางค์แล้วหน้าสะอาดกว่ากัน ซึ่งถ้าถามความรู้สึกของผมโดยเทียบระหว่าง Bioderma และ Bifesta ที่เป็นแบบน้ำ หรือ Water base นั้น ผมรู้สึกว่า Bioderma ทำได้ดีกว่า คือเวลาที่ใช้ Bioderma เช็ดหน้านั้นมันให้ความรู้สึกที่สะอาดกว่า เช็ดแล้วไม่เหนียวหน้า ในขณะที่ Bifesta ก็เช็ดสะอาดเหมือนกัน แต่มันยังรู้สึกเหนียวๆหน้ายังไงไม่รู้ พอหน้ายังเหนียวอยู่มันก็เลยให้ความรู้สึกว่าหน้าสะอาดน้อยลงไปโดยอัตโนมัติ แต่นี่ก็เป็นเพียงความรู้สึกตอนใช้เท่านั้น ถ้าทำได้ก็อยากเอากล้องที่ใช้ตรวจสอบผิวแบบในรายการ Sponge มาใช้เช็คดูว่าคลีนซิ่งตัวไหนเช็ดแล้วหน้าสะอาดกว่ากันจริงๆ

เทียบกันเรื่องอาการแพ้ และอาการสิวเห่อ


    หากเทียบกับการลองใช้ของผมแล้วคงจะบอกไม่ได้ว่า Bioderma และ Bifesta ตัวไหนใช้แล้วแย่กว่ากัน เพราะผมใช้แล้วไม่แพ้ทั้งคู่(หน้าด้านสุดๆ) แต่ผมเคยลองหาข้อมูลเรื่องการแพ้ของคลีนซิ่งทั้ง 2 ตัว ทั้งจากใน Pantip บ้าง ใน Jeban บ้าง ก็ต้องบอกว่า มีสิทธิ์แพ้พอๆกัน บาง คนก็จะบอกว่าสูตรอ่อนโยนที่เป็นสีชมพูใช้แล้วไม่แพ้ ใช้ดี แต่คนที่ใช้แล้วเกิดสิวผดบนหน้าทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็มี บางคนเป็นตุ่มหนองขึ้นมาเลยก็มี หรือบางคนสิวอักเสบเต็มหน้าเลย ก็มี คือผมว่า เรื่องแพ้นี่เริ่มไม่เกี่ยวกับยี่ห้อของคลีนซิ่งแล้วล่ะ แต่มันเกี่ยวกับสารเคมีที่ใส่ลงไปในตัวผลิตภัณฑ์ บวกกับสภาพความทนทานต่อสารเคมีของหน้าเรามากกว่า ว่าเราแพ้สารเคมีตัวไหน เพราะถ้าเราเกิดแพ้สารเคมีสักตัวหนึ่งที่อยู่ในคลีนซิ่งที่ใช้ ไม่ว่าจะยี่ห้อไหน แพงเท่าไร เราก็แพ้อยู่วันยังค่ำ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็น Bioderma และ Bifesta ผู้ใช้ก็มีโอกาสแพ้ได้พอๆกันครับ


เรื่องแอลกอฮอร์ และน้ำหอม


    ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางค์หรือคลีนซิ่งสมัยก่อน มักจะผสมแอกอฮอร์และน้ำหอมเข้าไป เพื่อให้คนที่ใช้รู้สึกว่าเวลาเช็ดหน้าแล้วมันสะอาด ช่วยให้รู้สึกสดชื่น แต่ในปัจจุบันคลีนซื่งส่วนใหญ่จะขายจุดเด่นในเรื่องการเป็นคลีนซิ่งที่ปราศจากแอกอฮอร์และน้ำหอม เพื่อ ให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัย ใช้แล้วไม่ทำให้แพ้ง่าย ซึ่งทั้ง Bioderma และ Bifesta ต่างก็เป็นคลีนซิ่งที่ไม่ผสมสารทั้ง 2 ตัวเหมือนกัน เหมาะสำหรับคนที่แพ้แอลอฮอร์หรือน้ำหอม สามารถใช้ได้โดยไม่แพ้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่แพ้เลยนะ เพราะเราอาจไปแพ้สารอย่างอื่นที่ไม่ใช่แอลอฮอร์หรือน้ำหอมก็เป็นไปได้ ก็ต้องระวังในจุดนี้ไว้ด้วยครับ


ราคาของ Bioderma และ Bifesta


    เรื่องราคาของคลีนซิ่งทั้ง 2 ตัวนี้ ต้องบอกได้เลยว่าแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดย Bioderma  จะมีราคาที่แพงกว่า Bifesta ยกตัวอย่างเช่น Bioderma Sebium H2O (ขวดสีเขียว) 500 ml ราคาประมาณ 850 บาท ในขณะที่  Bifesta Cleansing Lotion Sebum (ขวดสีฟ้า) 300 ml ราคา 380 บาท ราคาก็ต่างกันแบบรู้สึกได้ครับ แต่ในความรู้สึกที่เทลงสำลีแล้วเอามาเช็ดหน้า รู้สึกว่าถ้าใช้ Bioderma  ในการเช็ดหน้า 1 ครั้งจะใช้จำนวนหยดที่น้อยกว่า Bifesta ก็สะอาดแล้ว เหมือนกับว่า Bioderma  ถึงจะแพงกว่าแต่ก็ใช้ได้นานกว่า Bifesta อันนี้ความรู้สึกส่วนตัวนะครับ


สรุปผลการใช้คลีนซิ่ง Bioderma และ Bifesta ในมุมมองคนเป็นสิว


    หากให้บอกว่าชอบตัวไหนมากกว่า ผมขอยกให้ Bioderma ชนะแล้วกันครับ ถึง มันจะแพงกว่า แต่ความรู้สึกเวลาใช้ดีกว่า Bifesta อย่างที่ได้บอกไว้ข้างบน แต่ถ้าถามว่าจะใช้สูตรไหนดีระหว่างสูตรอ่อนโยนและสูตรสำหรับคนหน้ามันเป็น สิว ผมคิดว่าเราใช้แบบสูตรอ่อนโยนก็เพียงพอแล้ว ถึงเราจะหน้ามันก็เถอะ เพราะการที่เราหน้ามันไม่ได้บอกว่าผิวเราชุ่มชื้นนะครับ หน้า มันแต่น้ำน้อยมีถมไป(ผมคนหนึ่งล่ะ) เพราะจุดประสงค์ของการเช็ดล้างเครื่องสำอางค์ด้วยคลีนซิ่งนั้นก็เพื่อล้าง สิ่งสกปรกที่มันล้างออกยากให้หลุดออกไป อย่างเช่นเครื่องสำอางค์แบบกันน้ำที่อาจจะล้างออกยากนิดหนึ่ง และพอเราเช็ดทำความสะอาดหน้าด้วยคลีนซิ่งเสร็จ เราก็จะล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าต่อ ซึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หน้าของเราสะอาดหมดจด อีกทั้งยังช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นในผิว และลดการระคายเคืองที่อาจทำให้สิวขึ้นหน้าได้ดีอีกด้วย


คลีนซิ่งสูตรสำหรับคนผิวมัน


    อีกหนึ่งจุดที่สำคัญและต้องบอกไว้ก่อนก็คือ คลีนซิ่งสำหรับผิวมันนั้นมันแรงจริงๆ คือเวลาที่เอามาเช็ดหน้าอาจรู้สึกคันยิบที่หน้าได้ และบางตัวก็จะผสมสารที่ลดการอักเสบของผิวเข้าไป ซึ่งเป็นจุดขายที่ว่าช่วยลดการเกิดสิวอักเสบได้ ด้วย ซึ่งจุดนี้ผมมองว่าไม่จำเป็นเท่าไร เพราะการลดการอักเสบของสิวเราสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อสิว โดยตรงได้ และใช้ได้ผลดีกว่าด้วย เพราะฉะนั้นผมก็เลยคิดว่า คนเป็นสิวไม่จำเป็นที่ต้องใช้คลีนซิ่งสำหรับคนผิวมันเสมอไป ใช้สูตรอ่อนโยนก็ได้สะอาดเหมือนกัน

    นี่ก็เป็นมุมมองต่อคลีนซิ่งล้างเครื่องสำอางค์ทั้ง 2 ตัวของผม  Bioderma และ Bifesta สุดยอดคลีนซิ่งแห่งยุค มาจากความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ เรื่องการใช้คลีนซิ่งนั้นถ้าต้องแต่งหน้าเยอะๆก็ควรใช้ครับ แต่ถ้าเราเป็นคนไม่แต่งหน้าผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ครับ การล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยให้หน้าสะอาด ช่วยให้สิวไม่ขึ้น อย่า ลืมว่าความสะอาดของหน้าไม่ใช่ปัจจัยเดียวของการเกิดสิว ไม่งั้นแค่เราล้างหน้าให้สะอาด ใช้คลีนซิ่งเช็ดหน้า 3-4 รอบ ก็พอแล้วสำหรับการป้องกันการเกิดสิว เราคงไม่จำเป็นต้องหายาทารักษาสิวมาทา หาหมอสิวกันให้วุ่นวายอย่างทุกวันนี้

    ถึงการรักษาสิวจะดูเป็นเรื่องยาก ทำยังไงก็ไม่หายสักที แต่เชื่อผมเถอะครับว่ามันไม่ยากอย่างที่คิด เราสามารถหายจากการเป็นสิวได้จริงๆ ผมเชื่อเพราะผมหายมาแล้ว และอยากให้ผู้อ่านหายเป็นสิวกันทุกคนครับ ผมหวังว่าบทความทุกบทความในบล็อก Acnedefend แห่ง นี้ จะเป็นแนวทางให้กับคนเป็นสิวทุกคนได้ลองเอาไปใช้ เพื่อรักษาสิวให้หายได้ครับ เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อในความพยายามของตัวเรา ทุกคนหายเป็นสิวได้ เชื่อผมครับ!!!
ที่มา : http://acnedefend.blogspot.com
 

รีวิวตัว Sensibio H2O 4-in-1 cleansing water ดียังงัย ต้องเข้ามาพิสูจน์

รีวิวตัว Bioderma Sensibio H2O 4-in-1 cleansing water ให้ดูกันดีกว่า



ตอนแรกลองลงสีที่มือเป็น 2 part เอาไว้ เพราะนึกว่าตัวที่เป็น eye liner เข้มๆดำๆจะไม่สามาถเช็ดออกได้ด้วยตัว cleansing water ตัวนี้ตัวเดียว แต่ปรากฎว่า



มัน ออกหมดเลยอะ ทั้งคราบคอนซีลเลอร์ อายแชโดว์แบบครีม เพียงแต่ด้านที่เป็นอายไลเนอร์สีเข้มๆอันนั้นต้องเช็ดหลายทีหน่อย ฉะนั้นถ้าใครชอบเขียนตาเข้มๆสโมคกี้หนักๆ อาจใช้คลีนเซอร์ประเภท oil หรือ milk lotion ละลายคราบเครื่องสำอางค์ที่ติดทนมากๆออกก่อนครั้งนึง แล้วใช้ตัวนี้ตามอีกที รับรองว่าสะอาดเอี่ยม ไม่ต้องถูหน้าแรงๆด้วย แต่คนที่แต่งหน้าใน level ปกติหรือแต่งหน้าบางๆไม่มีปัญหานะเราว่า ตัวนี้จัดการได้สบาย 

ขอบคุณรีวิว สวยๆ และ ข้อมูลดีๆ จาก

http://biodermathailand.lnwshop.com
 

แนะนำวิธีการเลือกซื้อดอกสว่าน endmill

ถ้าคุณกำลังมองหาดอกสว่าน ดอกเอ็นมิลคุณภาพดีที่ได้มาตรฐานสากล เราขอคำแนะนำให้เลือกซื้อแต่ดอกสว่านendmillเท่า นั้นเพราะเนื้อดอกสว่านทำจากเหล็กกล้าอย่างดี เหมาะสำหรับการเจาะชิ้นงานหนักๆไม่ว่าจะเป็นเหล็กหนาหรืองานไม้ งานพลาสติกและอคิริค ถ้าเราเลือกดอกสว่านอย่างดีหน่อยเวลา ที่เจาะชิ้นงานจะทำออกมาได้ดีไม่มีรอย ใช้เแรงไม่มาก เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรม โรงาน ด้วยประสิทธิภาพในการเจาะที่ทำออกมาได้อย่างไร้ที่ติทำให้ได้รัีบการยอมรับ จากในวงการอุตสาหกรรมต่างๆ ในแง่ของการใช้งานภายในบ้านซ่อมแซมต่อเติมเจาะผนังก็ใช้ได้เหมือนกัน ในการเจาะชิ้นงานพวกไม้หรือพลาสติกต้องการดอกสว่านที่คมไม่อย่างนั้นชิ้นงาน อาจแตกหักเสียหายได้ไม่คุ้มกันเลยกับการเลือกใช้ดอกสว่านที่ไม่ดี


ควรเลือกซื้อดอกสว่าน ดอกเอ็นมิลจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือเท่านั้น
สำหรับการเลือกซื้อซื้อสินค้านั้นท่านอาจซื้อได้จากทางเว็บไซต์หรือไม่ก็ห้าง HomePro หรือตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำก็ได้ ดอกสว่านendmillถูกออก แบบมาอย่างดีเจาะได้ทุกพื้่นผิวทั่วโลกให้การยอมรับว่าดีที่สุด แข็งแรงทนทาน ใช้งานหนักๆได้อย่างสบายไม่ต้องกลัวหักสามารถเจาะได้นานไม่มีปัญหาใดๆ ถ้าลองซื้อมาใช้รับรองจะติดใจในคุณภาพของสินค้าร้านเรา ที่สำคัญคือมีการรับประกันสินค้า และราคาไม่แพงอีกด้วย แข็งแรงทนทานต่อการสึกหรอ

Link: คลิ๊กที่นี่
 

วิธีสังเกตและเลื้อกซื้อเม็ดคริสตัลสวารอฟสกี้แท้

ในปัจจุบัน มีเม็ดคริสตัลที่ผลิตออกมาในท้องตลาดอยู่มากมายหลากหลายแบบ หลากหลายคุณภาพ แต่คริสตัลที่เป็นแบรนด์ในใจคนไทยและคนทั้งโลกที่รักในเครื่องประดับประเภทนี้คือแบรนด์ Swarovski นั่นเอง  เนื่องจากมีชื่อเสียงในเรื่องคุณภาพและความวาว ความใส แต่ก็มีคริสตัลจากที่อื่นๆมาปะปนให้ลูกค้าได้เลือกซื้อกันตามอัธยาศัย และตามกำลังทรัพย์ที่มีอยู่ด้วย ถึงอย่างนั้นก็ดี บางทีคนที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าอยากจะได้คริสตัลสวารอฟสกี้มาใส่ หรือมาทำชิ้นงาน กลับไปได้เอาคริสตัลแบบอื่นๆมา จะด้วยความจงใจ ตั้งใจของผู้ขายหรือไม่ก็ตามที่ไม่จำแนกให้ชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคได้สิ่งที่ไม่ได้ต้องการ เรียกว่า “ตาดีได้ ตาร้ายเสีย”กันเลยทีเดียว ตรงนี้เวบ La Bella เลยจะขอเสนอวิธีสังเกตเม็ดคริสตัลว่าใช่สวาปลอม หรือสวาแท้หรือไม่ดังนี้ค่ะ  


  น้ำหนัก เนื่องจากคริสตัลนั้นก็คือแก้วที่เจียระนัย ดังนั้น น้ำหนักจะต้องมี ไม่ใช่เบาๆ โหวงโหวง เหวงเหวง ถือดูแล้วจะต้องรู้สึกได้ ถ้าเบาๆล่ะก็ ให้วางทิ้งไปได้เลยค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่กับประสบการณ์ด้วยว่าเคยจับคริสตัลมานานแค่ไหน

  เหลี่ยมมุม ต้องสวยสมส่วนได้สมมาตร ตามแบบของบริษัท เพราะคริสตัลสวารอฟสกี้ มีการตัดเหลี่ยมอย่างเป็นระบบเหมือนกันทุกเม็ดค่ะ

  ความแวววาว แน่นอน ต้องเป็นผลมาจากความสมมาตรของการตัดเหลี่ยม เม็ดสวาจะเล่นแสงได้ดีกว่าเม็ดคริสตัลปกติทั่วไป โดยเฉพาะเม็ดที่นำมาฝัง จะไม่บอดเหมือนคริสตัลอื่นๆ หรือที่เห็นตามแผง 3 คู่ 50

        เม็ดคริสตัลที่ผลิตมาจากประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียนั้น บางท่านที่เห็นว่าถูก จึงเลือกใช้ ขอบอกได้เลยว่า น้ำหนักเบา แม้จะมีความแวววาว แต่ใส่ได้ไม่เกิน 2 เดือน เม็ดจะหมองอย่างแรง และหากโดนน้ำเกิดสนิมที่ด้านในรู จนแทบจะปาทิ้งไม่อยากใส่ เสียเงินทั้งที ได้ของดีๆไปเลยดีกว่า จริงไหมคะ
หมายเหตุ ในเรื่องของสมมาตรสำหรับเม็ดเหลี่ยมแหลม 3 มิล หรือ 4 มิล ใน  1 ห่อ อาจจะมีเม็ด defect หรือเม็ดเสียบ้างเล็กน้อย เช่น รูไม่มี หรือตัดบนล่างไม่ตรง อันนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา หากเจอไม่ต้องตกใจค่ะ ในห่อ1440 เม็ด อาจจะเจอได้สัก 2-3 เม็ด ถือเป็นความแปลกใหม่ในชีวิตนะคะ

ขอบคุณบทความจาก : www.labellacrystal.com
 

รีวิว ครีม Snail me มหัศจรรย์ความเปล่งประกาย

  • ad_1_5_edit2_ok
  • ad1_7
Snail me มหัศจรรย์ความเปล่งประกายแห่ง ไทม์แมชชีนครีม ด้วยสารสกัดจากเมือกหอยทาก ที่มีคุณสมบัติช่วยปรับสภาพผิว ให้เรียบเนียน กระชับรูขุมขน ฟื้นฟูริ้วรอย และความหมองคล้ำ และสารสกัดจากต้น ฮิโนกิ ไซเปรซ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ตาม บ่อน้ำพุร้อน ทั้งในเกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งมีคุณสมบัติ ในการทำความสะอาดผิว ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียทำให้ผิวสะอาดบริสุทธิ์ ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น และสว่างกระจ่างใส สัมผัสประสบการณ์ใหม่แห่งความงาม ที่จะย้อนเวลาผิว
  
Snail Secretion
เมือกหอยทาก อุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น Protein, fat, glucose, iron, vitamin B1, B2, calcium, chondroitin. ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว ลดริ้วรอย รอยแผลเป็น ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และ
อิลาสติน  มีสารยับยั้งการทำลาย คอลลาเจน และ อิลาสตินที่อยู่ในผิว อีกทั้งยังลดความมันบนใบหน้าอีกด้วย


  • ad1_5_goong_ok
Main Ingredients
Hinoki Cypress (from Korea)  / Chamaecyparis obtusa (from Japan) :
ฮิโนคิ ไซเปรส เป็นพืชที่สร้าง Phytoncide ที่มีประสิทธิภาพ โดย Phytoncide มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดผิวหน้า ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย และต่อต้านอนุมูลอิสระ สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับสภาพผิว ทำให้ผิวสะอาดบริสุทธิ์ คงความชุ่มชื่น มีชีวิตชีวา เรียบเนียน และเปล่งประกาย
 Cnidium Offixinale Root Extract : สารสกัดสูตรเข้มข้นจากต้น ชอนกุง (Chon Goong) เป็นสารที่ประเทศเกาหลีนิยมใช้
ในผลิตภัณฑ์เสริมความงามประเภทผิวขาว โดยกระตุ้นการซ่อมแซมผิวหนังและเส้นเลือด ให้ทำงานมีประสิทธิภาพ
มีการศึกษาจากทางญี่ปุ่นระบุว่ามีคุณสมบัติในการขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase จึงช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี เมลานิน ทำให้ผิวขาวขึ้น 
  • ad1_8
  • ad1_9
  • ad_1_5_edit2_ok
Allantoin :
ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในเซลล์ผิวทำให้ผิวชุ่มชื้น ฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และลดริ้วรอยได้ดี ช่วยให้ผิวมีความนุ่มเรียบเนียน เป็นพิเศษ และยังลดการระคายเคือง ต่อต้านการแพ้ต่างๆ  ของผิว (soothing and anti-irritanting) เสริมสร้างการสร้างเนื้อเยื่อ (granulation tissue) ที่สมบูรณ์ขึ้นมาใหม่ ปลอดภัยและไร้ผลข้างเคียง
Niacinamide :
Niacinamide เป็นสารที่ช่วยให้เซลล์ทำงานได้อย่างเป็นปกติ มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant สามารถช่วยรักษาสิว ช่วยลดอาการแดงของผิว ควบคุมความมันบนใบหน้า กักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่น และลดริ้วรอยเหี่ยวย่น โดยช่วยกระตุ้นกระบวนการ Metabolism ของเซลล์ โดยการเสริมสร้างไขมัน และเพิ่มระดับ Ceramide ในชั้นผิวหนังกำพร้า ซึ่งช่วยลดการสูญเสียน้ำในเซลล์ และเสริมชั้นเกราะป้องกันผิว
 ดังนั้น วิตามิน B3 จึงมีส่วนช่วยลดเลือนริ้วรอยจากความแห้งกร้าน นอกจากนี้ ยังช่วยในเรื่องของผิวขาว ลดเลือนจุดด่างดำ และความไม่สม่ำเสมอของสีผิวได้เป็นอย่างดี โดยจะยับยั้งการขนถ่ายเม็ดสีเมลานินจาก Melanocytes Cells ไปยัง Keratinocytes Cells ทำให้เมื่อ Keratinocytes Cells เคลื่อนที่สู่ผิวชั้นบนของหนังกำพร้าจะมีเม็ดสีเมลานินไม่มาก สีผิวจึงดูขาวสม่ำเสมอ กระจ่างใสอย่างแท้จริง
  • ad1_10
  • ad1_11
  • ad1_12
Adenosine :
ป้องการเกิดริ้วรอย ฟื้นฟูสภาพผิวให้ชุ่มชื้น เพิ่มพลังการทำงานให้กับเซลส์
Hyarulonic acid : เป็นสารที่ช่วยชะลอความแก่ที่มีประสิทธิภาพ มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดีแล้ว
ยังช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระและช่วยกรองรังสี UV ซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย และเร่งขบวนการหายของแผล ทำให้ผิวชุ่มชื้น สดใส ไร้ริ้วรอย
Mucopolysaccharides :ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ปกป้องจาก สิ่งเร้าภายนอก ช่วยลดเลือน ริ้วรอย ยกกระชับผิวหน้า ป้องกันริ้วรอยต่างๆ
  • ad1_15
  • ad1_14
  • ad1_13
Vitamins (A,C,E) :เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนส่งเสริมการฟื้นฟูผิวหนัง.
วิตามินA มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอย ลดการสร้างน้ำมัน และสามารถใช้รักษาสิวอุดตันได้
วิตามิน C มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ตัวการที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ช่วยป้องกันอันตรายจากรังสียูวีในแดด และจะทำงานได้ดียิ่งขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับวิตามิน E นอกจากนี้ยังช่วยสมานแผล ทำให้ริ้วรอยบางๆ ลบเลือน แก้ปัญหาจุดด่างดำ กระ ฝ้า
วิตามิน E มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณสวยใส นุ่มนวลชุ่มชื้น หากผิวมีปัญหารอยไหม้แดง อักเสบ รอยช้ำ แผลเป็นก็สามารถทุเลาลงได้

 ad_1_5_edit2_ok
  • ad1_17
  • ad1_16 
Proteins (Collagen, Elastin) : บำรุงผิว และปรับปรุงผิวให้บริสุทธิ์ 
AHA, Proteclitic enzyme (Protease) :ขจัดเซลส์ผิวหนังที่ตายแล้ว และผลัดเซลส์เพื่อเสริมสร้างเซลส์ผิวหนังใหม่ 
Snail Secretion Filtrate
ซึ่งสาร glycosaminoglycan มีหน้าที่ต้านการอักเสบ และการบวมน้ำ หน้าที่หลักๆ ของ glycosaminoglycan นั้นคือการช่วยรักษาระดับน้ำในร่างกายให้เกิดสมดุล และเติมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการของร่างกาย และลำเลียงไปยังโมเลกุลให้ได้รับสารอาหารและความชุ่มชื้นอย่างพอเพียง ทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น และนุ่มนวล

สนใจสินค้าสั่งซื้อได้ที่ : http://snailmeshop.lnwshop.com/
 

วิธีการเลือกซื้อตู้เอกสารเหล็ก

วิธีการเลือกซื้อตู้เอกสารเหล็ก
ตู้เอกสารถือเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งในสำนักงาน เพราะเป็นที่สำหรับเอกสารให้เป็นระเบียบเรียบร้อย รวมถึงตู้เอกสารยังสามารถเก็บรักษาเอกสารสำคัญได้เพราะมีระบบการ Lock ด้วยกุญแจ เพราะหากคุณเก็บเอกสารไว้ที่โต๊ะหรือชั้นต่างๆ นอกจากจะไม่เป็นระเบียบแล้วยังเสี่ยงต่อการหายของเอกสารอีกด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นลองหาเลือกซื้อตู้เอกสารเหล็กสำหรับเก็บเอกสารที่สำคัญสักตู้สิค่ะ
- คุณภาพของตู้เอกสาร ตู้เอกสารที่เราจะเลือกซื้อมีคุณภาพหรือไม่นั้นต้องตรวจสอบว่า เราจะวางเอกสารได้เยอะขนาดไหน น้ำหนักมาก ตัวยึดลิ้นชักจะต้องรับน้ำหนักได้ และเปิด / ปิดได้อย่างไม่ติดขัด เช็คถึงเรื่องของความปลอดภัยต้องมองหากลไกที่ช่วยป้องกันไม่ให้ลิ้นชักเกยหรือกระทบกันเวลาที่เปิดออกมาหลายตัวพร้อมกัน ตู้ที่มีคุณภาพจะใช้ลิ้นชักที่มีน้ำหนักสมดุลกัน และมีตัวล๊อกด้านในให้เปิดลิ้นชักได้ครั้งละ 1 ตัวเท่านั้น

ตู้เอกสารนั้น ยิ่งใช้งานมากเท่าใด ก็จะยิ่งเกิดความเสียหายได้มาก ตู้ที่ใช้วัสดุเหล็กที่มีคุณภาพดี หนา และทนทานจะสามารถต้านทานความเสียหายของตู้เอกสารได้ทั้งภายนอกและภายใน
- ความต้านทานต่อไฟ และแรงกระแทก ตู้เอกสารจะสามารถทนไฟที่ประมาณ 1700 degree และที่ความร้อนได้ในอุณหภูมิต่ำกว่า 350 F ภายในหนึ่งชั่วโมง ดังนั้นหากเอกสารของคุณต้องการความปลอดภัยควรเลือกตู้เอกสารที่มีคุณสมบัติดังกล่าว โดยใช้วิธีการตรวจเช็คคุณภาพสินค้าจากทางร้านเฟอร์นิเจอร์
- หากคุณมีพื้นที่จำกัด แต่มีเอกสารที่ต้องการจัดเก็บมาก คุณอาจใช้ระบบกลไกเพื่อประหยัดพื้นที่ เช่น ตู้เอกสารแบบลูกรอก ซึ่งจะสามารถเก็บเอกสารได้ในประมาณมาก เมื่อต้องการหยิบหรือวางเอกสาร ก็เพียงแต่หมุนลูกรอกหรือแยกมันออกให้เกิดช่องว่างอีกทางเลือกหนึ่งคือ ชั้นวางอิสระแบบเปิด ซึ่งเป็นชุดของชั้นวางที่จะวางเรียงข้าง ๆ กันหรือซ้อน ๆ กันก็ได้ ด้วยความที่มันไม่มีอะไรปิด ทำให้เราสามารถหยิบเอกสารได้ง่าย
- ราคา ต้นทุนของตู้เอกสารนั้นขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ จำนวนลิ้นชัก รูปทรงและตัวล๊อกลิ้นชัก เช่น ตู้เอกสารสองลิ้นชักจะถูกกว่าตู้เอกสารห้าลิ้นชัก ตู้เอกสารแนวขวางราคาอาจจะแพงกว่าแบบแนวตั้ง ถ้าทนไฟและแรงกระแทกได้ ราคาก็แพงขึ้นอีก เช่นเดียวกัน
ด้วยเทคโนโลยีดิจิตอลในปัจจุบัน การเก็บเอกสารหรือข้อมูลต่างๆ มักจะนิยมเก็บในรูปแบบของแฟ้มข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ หากต้องเอกสารเพื่อพิมพ์ก็เพียงแต่เรียกชื่อแฟ้มข้อมูลแล้วสั่งพิมพ์ผ่านทาง Printer แต่ในหลายๆ สำนักงานหรือร้านค้าต่างๆ ระบบการจัดเก็บเอกสารในตู้เก็บเอกสารก็ยังมีความสำคัญอยู่ ยิ่งร้านค้าที่มีเจ้าของร้านเป็นผู้สูงอายุไม่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์แล้วล่ะก็ ระบบการจัดเก็บเอกสารในตู้เก็บเอกสารก็ยังเป็นระบบที่ง่ายต่อการใช้งาน
การเลือกตู้เอกสารสักใบสำหรับเก็บข้อมูลไม่ได้ดูที่ขนาดของตู้ ยิ่งตู้ใหญ่ยิ่งเก็บเอกสารได้มากนั่นคือข้อเท็จอยู่แล้วค่ะ การเลือกต้องมีการพิจารณามากกว่านั้นเพราะการเลือกซื้อที่ดีจะมีผลต่อระบบการจัดเก็บเอกสารที่ดูเรียบร้อย ปัจจัยที่จะต้องนำมาใช้ในการพิจารณาคือพื้นที่ของสำนักงาน ขนาดและชนิดของเอกสารที่จัดเก็บ

ที่มา : http://www.kssfurniture.com

 

รีวิว Meiji Amino Collagen 5000 mg. ช่วยให้ผิวนุ่น ชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

Meiji Amino Collagen 5000 mg. 

ช่วยให้ผิวนุ่น ชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

"The Basic Beauty Food for�
Youthfulness and Beauty"
คอลลาเจน คืออะไร?
คือโปรตีนชนิดหนึ่งของร่างกาย ทำหน้าที่เป็นตัวประสานเนื้อเยื่อของผิวหนัง เชื่อมต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกายไว้ด้วยกัน ทั้งผิวพรรณ กระดูกและผนังหลอดเลือด ร่างกายคนเราจะมีคอลลาเจนถึง 1 ใน 3 ส่วนของโปรตีนทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกาย
คอลลาเจนไม่เพียงแต่เป็นส่วนประกอบหลักของชั้นผิวหนัง(เคราติน)ถึง 70 % เท่านั้น อวัยวะต่างๆในร่างกายของเราก็มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบอยู่มาก เช่น กระดูกอ่อน เส้นเอ็น ข้อต่อ กระดูก
เคราตินมีหน้าที่สร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้ผิวหนังกระชับเรียบตึง ถ้ามีคอลลาเจนไม่เพียงพอ สารเคราตินในชั้นผิวหนังจะลดลง จึงทำให้ผิวเกิดริ้วรอยแห่งวัย หย่อนคล้อย และขาดความชุ่มชื้น

เหตุใดร่างกายจะต้องเสริมสร้างด้วย�คอลลาเจน?
ช่วงวัยเด็กร่างกายจะสามารถสร้างคอลลาเจนได้เอง จนเมื่ออายุถึง 20 ปี การสร้างคอลลาเจนจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ทำให้ผิวพรรณเริ่มมีริ้วรอยและเหี่ยวย่น ความหนาแน่นของกระดูกจะค่อยๆบางลง รวมถึงผมที่จะเสื่อมสภาพลงตามอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกาย เพื่อคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวกระชับ เรียบตึง ป้องกันและฟื้นฟูผิวหมองคล้ำและหยาบกร้าน เพื่อความยืดหยุ่นให้แก่ผิวหนัง และสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูก
คอลลาเจนเปปไทด์
(Collagen Peptide) ได้จากปลาทะเล
คอลลาเจน�เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่มาก ร่างกายสามารถดูดซึมได้ยาก จึงมีการนำคอลลาเจนมาผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ คอลลาเจนจะแตกตัวเป็นลักษณะของเจลาติน และนำมากลั่นกรองให้เป็นคอลลาเจนเปปไทด์ ที่มีขนาดโมเลกุลที่เล็กกว่าขนาดโมเลกุลของคอลลาเจนปกติถึง 1/60 ช่วยให้ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
กราฟเปรียบเทียบการดูดซึมของคอลลาเจนเปปไทด์เข้าสู่ร่างกายระหว่างคอลลาเจนจากปลาทะเลและคอลลาเจนจากหมู พบว่าคอลลาเจนเปปไทด์ที่มาจากปลาทะเล สามารถดูดซึมได้มากกว่าถึง 50%


เหตุใดจึงควรรับประทาน�คอลลาเจน?
เสริมอาหาร
ในอาหารทั่วไปที่เรารับประทานเป็นประจำนั้น จะมีคอลลาเจนอยู่ในปริมาณที่น้อยมาก เช่น เนื้อสัตว์และปลาดิบ ส่วนพวกนม ไข่ และถั่วเหลือง ไม่มีคอลลาเจนอยู่เลย เพื่อจะให้ได้คอลลาเจนในปริมาณ 5,000 มิลลิกรัม ที่เพียงพอต่อที่ร่างกายต้องการ คุณอาจต้องรับประทานหูฉลามถึงสองชิ้นครึ่งต่อวัน
มีการวิจัยระบุว่า คอลลาเจนนั้นจะสามารถดูดซึมเข้าสู่กระเพาะอาหารได้ดีกว่าดูดซึมทางชั้นผิวหนัง การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนนั้น เป็นการยากมากหากต้องการให้ดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นในได้
หากคุณต้องการสวยจากภายในหรือต้องการหลีกเลี่ยงการศัลยกรรมจึงควรรับประทานคอลลาเจนเท่านั้น
การรับประทานคอลลาเจนควรรับประทานคอลลาเจนควบคู่กับวิตามินซี เพราะจะช่วยให้คอลลาเจนถูกดูดซึมได้ดีขึ้น


(Meiji Amino Collagen)
ใน 1 ช้อน (7 กรัม) มีปริมาณคอลลาเจนถึง 5,000 มิลลิกรัม
ประกอบด้วย 3 คุณค่า ที่ช่วยเสริมสร้างให้กับคอลลาเจน
�คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide) ช่วยปรับโครงสร้างของผิวให้แข็งแรงและเรียบตึงขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น เปร่งปรั่ง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น หมองคล้ำ ทำให้ผิวคงความอ่อนเยาว์อยู่เสมอ
�วิตามิน C (Vitamin C) ช่วยเสริมสร้างโปรตีนคอลลาเจน และช่วยให้ผิวพรรณสดใส ป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
�อาร์จินีน (Arginine) ช่วยฟื้นฟูผิวให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เหนื่อยล้า

+ คอลลาเจนเปปไทด์ จาก
����ปลาทะเลถึง 5,000 มิลลิกรัม
+ อาร์จินิน (กรดอะมิโน)
+ วิตามินซี

+ ไม่มีน้ำตาล
+ แคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่
����ต้องการดูแลเรื่องสัดส่วน




คุณประโยชน์ที่ได้รับจากการบริโภคคอลลาเจนเปปไทด์ ที่ได้จากปลาทะเลในปริมาณ 5,000 มก. ต่อวัน เป็นเวลาติดต่อกัน 6 สัปดาห์

  • ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น
  • ช่วยให้ผิวนุ่ม และมีความยืดหยุ่นขึ้น
  • ช่วยให้ริ้วรอยตื้นและน้อยลง
  • ช่วยให้ผิวเรียบตึงและกระชับขึ้น
  • ช่วยลดเลือนจุดด่างดำบนใบหน้า
  • ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  • ช่วยลดเลือนรอยคล้ำใต้ดวงตา
  • ช่วยให้ผมและเล็บแข็งแรง และหนาขึ้น


รับประทานอย่างไร?
เมจิ อะมิโน คอลลาเจน(Meiji Amino Collagen)

เพียงวันละ 1 ช้อนตวงในกระป๋อง(7 กรัม) โดยสามารถนำไปผสมกับเครื่องดื่มหรืออาหารได้หลายชนิด เช่น ผสมลงในน้ำ นม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ หรือโรยบนข้าวสวย ผัดผักต่างๆ สลัด แกง ซุป รวมทั้งโยเกิร์ต ขนมปัง ขนมเค้ก ขนมปังกรอบ เนื้อสัตว์และอาหารต่างๆ โดยไม่ทำให้รสชาติอาหารเปลี่ยนแปลง

สนใจสินค้า "Meiji Amino Collagen 5000 mg คลิ๊ก !!"
 

4 คำเตือนก่อนใช้ผ้าอนามัย

สาวๆ คนไหนไม่รู้จัก ผ้าอนามัย บ้างค่ะ คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักใช่ไหมค่ะ แต่จะมีสักกี่คนนะที่ใช้ได้อย่างถูกต้อง วันนี้เราเลยมีเรื่องเกี่ยวกับ ผ้าอนามัย มาฝากสาวๆ กันค่ะ

1. เปลี่ยนบ่อยอย่างน้อย 2 ผืน ความอับชื้นจะทำให้แบคทีเรียในผ้าเติบโตได้ดี จนคุณอาจจะติดเชื้อในช่องคลอด ยิ่งถ้าสะสมไว้นานๆ ขอบอกว่านี่ล่ะตัวการมะเร็งปากมดลูก

2. หลีกเลี่ยงที่ชื้นแฉะ ไม่ควรเก็บผ้าอนามัยไว้ในห้องน้ำ ถึงแม้คุณจะเก็บในลิ้นชักห่างไกลจากบรรดาก๊อกน้ำแล้วก็ตาม เพราะเนื้อผ้าที่อ่อนนุ่ม อมความชื้นได้ดี เหมาะจะเป็นที่เฮฮาปาร์ตี้ขอองเชื้อโรคเป็นที่สุด เพื่อความปลอดภัยควรเก็บผ้าอนามัยไว้ในที่ที่แห้ง สะอาด อย่างตู้เสื้อผ้าจะดีกว่า

3. อ่านวันหมดอายุก่อนใช้ ผลสำรวจบอกว่ามีผู้หญิงไม่ถึง 1% ที่จะสังเกตวันหมดอายุของ ผ้าอนามัย ทั้งๆ ที่มันก็เหมือนกับสินค้าอื่นๆ ยิ่งใกล้วันหมดอายุเท่าไรคุณภาพก็จะยิ่งลดลง

** อันนี้แอดมินลองไปดูที่ข้างห่อผ้าอนามัยทุกยี่ห้อ ไม่ได้มีการระบุวันหมดอายุไว้ แต่มีการระบุวันเดือนปีผลิต และครั้งที่ผลิตเท่านั้น และยังค้นหาไม่พบว่า ตกลงแล้วว่า ผ้าอนามัยตามมาตรฐานจริงๆ มีอายุกี่วันนับจากวันผลิต???? แต่มีผ้าอนามัยสมุนไพรยี่ห้อนึง มีระบุข้างห่อไว้ชัดเจนว่าผลิตวันเดือนปีอะไร และยังระบุอีกว่า ผลิตภัณฑ์นี้มีอายุ 3 ปีนับจากวันผลิต

4. ผ้าแบบซึมซับมากประโยชน์น้อย ผู้หญิงบางคนชอบใช้ ผ้าอนามัย แบบซึมซับได้มากๆ เพื่อที่จะไม่ต้องเปลี่ยนเลยตลอดวัน ขอบอกว่านี่เป็นความคิดที่อันตรายมาก เพราะเลือดเป็นอาหารของเชื้อแบคทีเรีย หลักการใช้ผ้าอนามัยที่ถูกคือ ต้องเปลี่ยนทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อให้จุดซ่อนเร้นสะอาดไม่อับชื้น วิธีนี้ช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้อีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา : spicy
 

4 ขั้นตอนจัดชั้นวางของให้สวยงามและเป็นระเบียบเรียบร้อย




การมีชั้นวางของใน บ้านนั้นทำให้คุณมีพื้นที่ที่จะจัดเก็บสิ่งของมากขึ้นกว่าก่อน หากคุณไม่มีคงได้วางสิ่งของเต็มพื้นไปหมด ซึ่งนั่นคงทำให้บ้านของคุณรกและไร้ระเบียบ ไม่น่าอยู่ไปเลยทีเดียว แต่ในเมื่อคุณมีตัวช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับจัดเก็บสิ่งของแล้วนั้น ก็ใช่ว่าจะละเลยอย่างไรก็ได้นะคะ การจัดการไม่ใช่ว่าจะทำเฉพาะพื้นหรือส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วละเลยอีกส่วนหนึ่ง ได้ บนชั้นวางของนั้นก็คือพื้นที่ขนาดย่อมๆ ที่เราจะต้องให้ความเป็นระเบียบกับมันและจัดการให้เรียบร้อยเช่นเดียวกับ ทุกๆ พื้นที่ในบ้าน ดังนั้นวันนี้เราจึงนำวิธีการจัดการชั้นวางของคุณให้สวยงาม เป็นระเบียบมาให้คุณเลือกสรรไปใช้จัดการกับชั้นวางของที่บ้านของคุณกันเลย!
1. จัดชั้นวางของไม่ให้ยุ่งเหยิงจนเกินไป
การจัดชั้นวางของไม่ ได้หมายความว่าเป็นการทำให้รก มันคือการจัดการ ดังนั้นคุณสามารถวางอะไรก็ได้บนชั้นวางที่คุณต้องการ แต่! คุณต้องจำเอาไว้ว่าอย่าวางอะไรให้มันเยอะจนเกินไป ดูแล้วรก และยุ่งเหยิงเสียจนรู้สึกว่ามันไม่สวยงาม คุณไม่จำเป็นต้องทำให้ทั้งชั้นวางนั้นมีเพียงแต่สิ่งของประเภทเดียวเท่านั้น แต่ก็ต้องระวังไม่ให้มีมากเสียจนไม่เข้าพวกหรือไม่เหมาะสมจนเกินไปด้วยเช่น เดียวกัน

2. เติมระเบียบให้กับชั้นวางของด้วยป้ายชื่อ ตะกร้า และกำจัดขยะ
จัดระเบียบให้กับชั้นวางของดู ดีและสวยงามได้มากขึ้นด้วยการติดป้ายชื่อกำกับสิ่งของเอาไว้ หากคุณมีสิ่งของมากมายเอาตั้งอยู่บนชั้นวาง โดยสิ่งของเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องโชว์ออกมาก็ได้ คุณอาจจะหาตะกร้าหรือกล่องสวยๆ มาบรรจุเก็บสิ่งของเหล่านั้นซ่อนไว้เป็นประเภทๆ และเขียนป้ายชื่อกำกับ เพื่อให้เวลาค้นหานั้นง่ายดาย อีกทั้งอย่าลืมตรวจชั้นวางว่าสิ่งใดไม่ใช้หรือเป็นขยะและรกขึ้นมา ก็รีบนำไปทิ้งเสียให้เรียบร้อย เท่านี้ชั้นวางของคุณก็สวยและเรียบร้อยมากขึ้นแล้วค่า
3. ระบายสีชั้นวางด้วยการตกแต่งตามสีสัน
จัดชั้นวางของให้ เป็นศิลปะมากขึ้นด้วยการจัดชั้นวางตามสีสัน ไม่เพียงแต่ทำให้ชั้นวางของคุณสวยเท่านั้น แต่ยังทำให้บ้านของคุณมีมุมสวยๆ อีกด้วยค่ะ อย่างเช่นในห้องครัว คุณอาจจะจัดเก็บถ้วย ชาม แก้วน้ำ ช้อนส้อมต่างๆ ตามแต่ละสีสันของมันก็ได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ห้องครัวของคุณดูสวยสดใส น่ารักมากๆ เลยล่ะค่ะ
4. น้อยแต่สวย ช่วยให้ชั้นวางดูดี
วิธี สุดท้ายคือกฏตายตัวที่คุณควรจะจำเอาไว้ในการตกแต่งชั้นวางของ นั่นก็คือ น้อยแต่สวย หมายความว่าคุณไม่ควรจัดชั้นวางให้มีสิ่งของจำนวนมากจนเกินไป เพราะนั่นจะทำให้ชั้นวางของคุณกลายเป็นรก ไม่ใช่สวย การจัดน้อยๆ แต่พอดีจะช่วยทำให้ชั้นวางของคุณน่าชมและดูดีสวยงามมากกว่ารกค่ะ
ที่มา : www.kvbshop.com
 
 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2011. HOT-HIT THAILAND - All Rights Reserved
Template Created by Creating Website Published by Mas Template
Proudly powered by Blogger